ผ่าตัดข้อเข่าเทียม – คู่มือฉบับเต็ม

โดย นพ.รณศักดิ์ มงคลรังสฤษฎ์

ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ อนุสาขาข้อเข่าและข้อสะโพก


บทความนี้เหมาะกับใคร?

- ผู้สูงอายุที่ปวดเข่าเรื้อรัง

- ลูกหลานที่อยากหาทางออกให้พ่อแม่กลับมาเดินได้

- ผู้ป่วยที่กำลังตัดสินใจว่าจะ “ผ่าหรือไม่ผ่า”

- แพทย์ทั่วไป / นักกายภาพ ที่อยากทำความเข้าใจภาพรวมของการรักษา


เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น...'ข้อเข่าเสื่อม' คือหนึ่งในปัญหาที่ทำให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก หลายคนเดินไม่ได้ ลุกนั่งลำบาก ใช้ชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น แม้จะลองทุกวิธี ไม่ว่าจะเป็นการกินยา ฉีดยา หรือกายภาพบำบัด แต่ความเจ็บปวดก็ยังตามหลอกหลอนอยู่ทุกวัน   

สำหรับผู้ป่วยบางราย 'การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม' คือทางเลือกที่ดีที่สุด – ปลอดภัย เห็นผลชัด และทำให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติอีกครั้ง


เนื้อหามี 10 ตอน ท่านสามารถเลือกดูตอนต่างๆได้ที่นี่

ตอนที่ 1 ผ่าตัดข้อเข่าเทียม คืออะไร เหมาะกับใคร

ตอนที่ 2: เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมก่อนเข้าห้องผ่าตัด

ตอนที่ 3: เกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด?

ตอนที่ 4: การพักฟื้นและการดูแลหลังผ่าตัด

ตอนที่ 5: คำถามยอดฮิตที่คนไข้ถามบ่อย

ตอนที่ 6: ภาวะแทรกซ้อนและวิธีป้องกัน

ตอนที่ 7: ออกกำลังกายอย่างไรให้เข่าฟื้นเร็ว เดินได้ไว

ตอนที่ 8: ใช้ชีวิตอย่างไรให้ข้อเข่าเทียมอยู่กับเราได้นานที่สุด

ตอนที่ 9: รีวิวจากผู้ป่วยจริง เดินได้ดีขึ้นอย่างไรหลังเปลี่ยนข้อเข่า

ตอนที่ 10: เมื่อไหร่ควรตัดสินใจเปลี่ยนข้อเข่า?


ตอนที่ 1 ผ่าตัดข้อเข่าเทียม คืออะไร เหมาะกับใคร


ผ่าตัดข้อเข่าเทียมคืออะไร?

การผ่าตัดข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement) คือหัตถการที่แพทย์จะนำผิวข้อเข่าที่เสื่อมสภาพออก แล้วแทนที่ด้วยวัสดุพิเศษ เช่น โลหะผสมและพลาสติกเกรดทางการแพทย์ ข้อเข่าเทียมถูกออกแบบมาให้เลียนแบบการทำงานของข้อเข่าธรรมชาติ ช่วยให้ผู้ป่วยเดินได้ดีขึ้น ปวดน้อยลง และกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง


ข้อบ่งชี้ว่าคุณอาจต้อง “เปลี่ยนข้อเข่า”

- ปวดเข่าเรื้อรังแม้จะกินยาหรือฉีดยาแล้ว

- ข้อเข่าฝืด ขยับได้ไม่สุด เดินลำบาก

- ขาโก่งหรือข้อเข่าผิดรูป

- X-ray พบข้อเข่าเสื่อมระดับรุนแรง

- ใช้ชีวิตประจำวันลำบาก ต้องใช้เครื่องพยุงเดิน


ใครบ้างที่เหมาะกับการผ่าตัดข้อเข่าเทียม?

โดยทั่วไป ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีภาวะข้อเข่าเสื่อมระดับปานกลางถึงรุนแรง มักเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการผ่าตัดมากที่สุด อย่างไรก็ตาม อายุไม่ใช่เกณฑ์เดียวในการตัดสินใจ ผมมักประเมินร่วมกับอาการจริง ไลฟ์สไตล์ของผู้ป่วย และผล X-ray เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะที่สุด


ตอนที่ 2: เตรียมตัวอย่างไรให้พร้อมก่อนเข้าห้องผ่าตัด


ผู้ป่วยหลายคนกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดข้อเข่าเทียม เพราะไม่แน่ใจว่าต้องเตรียมตัวอย่างไร การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความเครียด ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน และช่วยให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น

1. ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด

แพทย์จะสั่งตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และภาพถ่าย X-ray เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย รวมถึงต้องหยุดยาบางชนิดล่วงหน้า เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น Aspirin, Warfarin) ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออกระหว่างผ่าตัด

2. แจ้งประวัติโรคประจำตัวและยาที่ใช้

หากคุณมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือมีประวัติแพ้ยา ต้องแจ้งแพทย์ทุกครั้งเพื่อวางแผนการดูแลที่เหมาะสม

3. เตรียมบ้านให้เหมาะกับการพักฟื้น

หลังผ่าตัด คุณจะต้องใช้วอล์กเกอร์ (ไม้ 4 ขา) ช่วยเดินในช่วงแรก ควรเตรียมพื้นที่ในบ้านให้ปลอดภัย เช่น:

- เก็บพรมหรือสิ่งกีดขวางที่อาจทำให้สะดุด

- ติดราวจับในห้องน้ำหรือทางเดิน

- วางของใช้ที่จำเป็นให้อยู่ในระดับเอื้อมถึง

- หากบ้านมีหลายชั้น ควรจัดให้พักอยู่ชั้นล่าง

4. วางแผนการฟื้นฟูหลังผ่าตัด

หลังผ่าตัด คุณจะต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กับการผ่าตัด เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การมีนักกายภาพที่ดูแลต่อเนื่องจะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น

5. เตรียมสภาพจิตใจให้พร้อม

การผ่าตัดใหญ่ย่อมมีความกังวลเป็นธรรมดา การเข้าใจขั้นตอนการผ่าตัดและการพูดคุยกับแพทย์อย่างเปิดใจจะช่วยให้คุณรู้สึกมั่นใจและเชื่อมั่นในแผนการรักษา

6. อดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัดตามคำแนะนำแพทย์

โดยทั่วไปจะให้งดอาหารและน้ำก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อความปลอดภัยในการให้ยาสลบหรือบล็อกหลัง

คำแนะนำเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของหมอ

ผมมักแนะนำให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้ามาฟังคำอธิบายร่วมกันก่อนวันผ่าตัด เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง การผ่าตัดข้อเข่าไม่ใช่เรื่องน่ากลัว หากเตรียมตัวดี และได้ทีมแพทย์ที่เข้าใจคุณจริง ๆ ผลลัพธ์มักออกมาน่าพอใจเกินคาด


ตอนต่อไป: ขั้นตอนการผ่าตัดและสิ่งที่ควรรู้ในห้องผ่าตัด

ในตอนที่ 3 ผมจะอธิบายว่าในวันผ่าตัดจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตั้งแต่ก่อนเข็นเข้าห้องผ่าตัด จนถึงช่วงที่คุณตื่นขึ้นมาในห้องพักฟื้น


ตอนที่ 3: เกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด?


หลายคนกังวลว่า 'การผ่าตัดข้อเข่าเทียม' จะเป็นเรื่องใหญ่น่ากลัว ทั้งที่จริงแล้ว ปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์และความชำนาญของทีมศัลยแพทย์สามารถควบคุมความปลอดภัยได้ดีมาก ในตอนนี้ผมจะพาคุณรู้จักกับขั้นตอนจริง ตั้งแต่ก่อนเข้าห้องผ่าตัดจนถึงตื่นขึ้นมาหลังการผ่าตัด

1. เตรียมตัวก่อนเข้าห้องผ่าตัด

เมื่อถึงวันผ่าตัด คุณจะได้รับการตรวจซ้ำอีกรอบโดยทีมวิสัญญีแพทย์ และพยาบาลห้องผ่าตัด เพื่อยืนยันตัวตน ประวัติสุขภาพ และแผนการให้ยาระงับความรู้สึก (ยาสลบหรือบล็อกหลัง)

2. การให้ยาระงับความรู้สึก

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้รับการบล็อกหลัง (spinal anesthesia) ซึ่งทำให้ขาชาทั้งสองข้าง ข้อดีคือฟื้นตัวเร็วกว่า และไม่คลื่นไส้หลังผ่าตัดเหมือนยาสลบ มีฤทธิ์แก้ปวดหลังผ่าตัดได้ดี ในบางกรณีอาจใช้ยาสลบเต็มรูปแบบ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของวิสัญญีแพทย์และความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย

3. ขั้นตอนการผ่าตัดข้อเข่าเทียม

การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 1.5–2 ชั่วโมง โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้:

- เปิดแผลยาวประมาณ 10–15 ซม. บริเวณด้านหน้าข้อเข่า

- แยกกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อรอบข้อเข่าเพื่อเข้าถึงผิวข้อ

- ตัดกระดูกอ่อนและกระดูกที่เสื่อมสภาพออก

- ติดตั้งชิ้นส่วนของข้อเข่าเทียมอย่างแม่นยำ

- ตรวจสอบความมั่นคงและองศาการงอเข่าก่อนเย็บปิดแผล

- ใส่สายระบายเลือด และพันแผลด้วยผ้าปิดแผลปลอดเชื้อ

4. หลังผ่าตัด: ห้องพักฟื้น (Recovery Room)

หลังการผ่าตัด คุณจะถูกย้ายไปยังห้องพักฟื้นเพื่อติดตามสัญญาณชีพ เช่น ชีพจร ความดัน และออกซิเจน ทีมวิสัญญีจะคอยดูแลอาการชา หรือคลื่นไส้ที่อาจเกิดขึ้นในช่วงแรก

5. กลับหอผู้ป่วย: เริ่มต้นการฟื้นตัว

เมื่ออาการคงที่ คุณจะถูกย้ายกลับหอผู้ป่วย และเริ่มฟื้นตัวใน 6–12 ชั่วโมงแรก โดยทีมแพทย์ พยาบาล และนักกายภาพจะร่วมกันดูแลเรื่องยาแก้ปวด การขยับข้อเข่า และป้องกันภาวะแทรกซ้อน

6. เทคนิคพิเศษ: การใช้ Navigation หรือหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด

ในบางโรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ศัลยแพทย์อาจใช้ระบบนำวิถี (Navigation) หรือหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวางตำแหน่งของข้อเข่าเทียมให้เหมาะสมกับสรีระของแต่ละคน

คำแนะนำจากหมอ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความเข้าใจในกระบวนการและการสื่อสารกับทีมแพทย์ หากคุณเตรียมตัวมาดี ฟังคำแนะนำ และไม่กลัวเกินเหตุ การผ่าตัดข้อเข่าจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เดินได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง

ตอนต่อไป: การพักฟื้นและการดูแลหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียม

ในตอนที่ 4 ผมจะอธิบายเรื่องการพักฟื้นหลังผ่าตัด การลุกเดิน การทำกายภาพ และแนวทางการดูแลตัวเองใน 3 เดือนแรกให้ปลอดภัยและฟื้นตัวเร็ว


ผ่าตัดข้อเข่าเทียม – ตอนที่ 4: การพักฟื้นและการดูแลหลังผ่าตัด


หลังการผ่าตัดข้อเข่าเทียมเสร็จสิ้น ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบลงทันที แต่ช่วงฟื้นตัวหลังผ่าตัดคือหัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ในระยะยาว ถ้าผู้ป่วยดูแลตัวเองดี ทำกายภาพอย่างสม่ำเสมอ ความสามารถในการเดินจะกลับมาเร็ว และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อย่างมาก

1. วันแรกหลังผ่าตัด: เริ่มขยับทันที

ในวันแรกหลังผ่าตัด คุณจะได้รับการประเมินอาการปวดและเริ่มขยับข้อเข่าทันทีภายใต้การดูแลของนักกายภาพ การเริ่มขยับเร็วช่วยลดโอกาสเกิดพังผืด ข้อเข่าฝืด และลิ่มเลือดอุดตัน

2. 48 ชั่วโมงแรก: ลุกเดินได้

ทีมแพทย์จะช่วยให้คุณลุกขึ้นยืนและเดินด้วยวอล์กเกอร์ตั้งแต่ 1–2 วันแรกหลังผ่าตัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและฝึกกล้ามเนื้อให้กลับมาใช้งานได้

3. การทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง

กายภาพเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นตัว คุณต้องฝึก:

- งอเข่าให้ได้อย่างน้อย 90–120 องศาภายใน 2 สัปดาห์

- เหยียดเข่าให้ตรงที่สุด (Full Extension)

- เดินระยะทางเพิ่มขึ้นทุกวัน

- ฝึกการทรงตัวและการขึ้น-ลงบันได

4. การดูแลแผลผ่าตัดและป้องกันการติดเชื้อ

ควรรักษาแผลให้สะอาด แห้ง ไม่ให้มีน้ำซึม หมั่นสังเกตอาการบวม แดง หรือมีหนอง และไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง

5. ยาและการป้องกันภาวะแทรกซ้อน

แพทย์จะให้ยาละลายลิ่มเลือดในบางราย รวมถึงยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และยาแก้ปวดซึ่งต้องรับประทานตามคำแนะนำเท่านั้น

6. ระยะเวลาในการพักฟื้น

- 1 สัปดาห์แรก: เดินภายในบ้าน

- สัปดาห์ที่ 2–4: เดินระยะไกลขึ้น เริ่มขึ้น-ลงบันได

- สัปดาห์ที่ 6: เริ่มเดินได้ไม่ใช้ไม้เท้า

- ภายใน 3 เดือน: กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ

7. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังผ่าตัด

- การนั่งยอง นั่งพื้น หรือนั่งไขว่ห้าง

- การวิ่งหรือกระโดด

- การยกของหนัก

- การงอเข่ามากกว่า 120 องศาในช่วง 6 สัปดาห์แรก

8. กำลังใจจากหมอถึงผู้ป่วย

การพักฟื้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้ความพยายามและวินัยสูง แต่ทุกก้าวที่คุณฝึกเดิน ทุกองศาที่คุณงอเข่าเพิ่มได้ คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ผมขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยทุกคนกลับมาเดินได้ดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอีกครั้งครับ

ตอนต่อไป: คำถามยอดฮิตที่คนไข้ถามบ่อยเรื่องผ่าตัดข้อเข่าเทียม

ในตอนที่ 5 ผมจะรวบรวมคำถามที่ผู้ป่วยถามบ่อย เช่น อายุเท่าไรถึงควรผ่า? ต้องเปลี่ยนข้อเข่าใหม่ไหม? เดินได้เมื่อไหร่? ค่าใช้จ่ายเท่าไร?


ตอนที่ 5: คำถามยอดฮิตที่คนไข้ถามบ่อย


ผู้ป่วยหลายคนที่มาปรึกษาเรื่องผ่าตัดข้อเข่าเทียมมักมีคำถามคล้าย ๆ กัน บางคนกังวลเรื่องผลลัพธ์ บางคนไม่แน่ใจว่าจะถึงเวลาต้องผ่าหรือยัง ผมรวบรวมคำถามยอดฮิต พร้อมคำตอบแบบเข้าใจง่ายไว้ที่นี่ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ

1. อายุเท่าไหร่ถึงควรผ่าตัดข้อเข่าเทียม?

โดยทั่วไปผู้ป่วยอายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มที่เหมาะสมที่สุด เพราะข้อเข่าเทียมมีอายุการใช้งานประมาณ 15–20 ปี แต่หากอายุน้อยกว่านั้นและมีอาการปวดมากจนกระทบคุณภาพชีวิต การผ่าตัดก็ยังสามารถทำได้ภายใต้การพิจารณาอย่างรอบคอบ

2. ผ่าแล้วจะเดินได้เหมือนเดิมหรือไม่?

เป้าหมายของการผ่าตัดคือให้คุณกลับมาเดินได้อย่างมั่นใจ ทำกิจกรรมประจำวันได้ เช่น เดินเล่น ไปตลาด ขึ้นบันได แต่ไม่ควรวิ่งหรือกระโดด โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยเดินได้ดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ และใกล้เคียงปกติใน 3–6 เดือน

3. ผ่าแล้วจะต้องเปลี่ยนข้อเข่าอีกครั้งไหม?

ข้อเข่าเทียมมีอายุเฉลี่ย 15–20 ปี หากใช้เหมาะสม ไม่หกล้มหรือใช้งานหนักเกินไป มักไม่จำเป็นต้องผ่าใหม่ แต่หากยังอายุน้อย เช่น ต่ำกว่า 55 ปี อาจต้องเปลี่ยนข้อใหม่ในอนาคตได้

4. ผ่าตัดใช้เวลานานแค่ไหน?

เวลาผ่าตัดประมาณ 1.5–2 ชั่วโมง แต่รวมเวลาพักฟื้นในโรงพยาบาล 3–5 วัน จากนั้นกลับบ้านได้และทำกายภาพต่อเนื่อง

5. พักฟื้นนานไหม?

- เดินในบ้านได้ใน 1 สัปดาห์แรก

- กลับไปทำงานเบา ๆ ภายใน 1–2 เดือน

- ขับรถได้ภายใน 6 สัปดาห์

- ใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติใน 3 เดือน

6. ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดเท่าไหร่?

- โรงพยาบาลเอกชน: 180,000–350,000 บาท ขึ้นกับโรงพยาบาลและอุปกรณ์ที่ใช้

7. มีวิธีไหนที่เลี่ยงการผ่าตัดได้หรือไม่?

มีครับ เช่น:

- ฉีดยาหล่อลื่นข้อ

- ฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP)

- กายภาพบำบัด

- ลดน้ำหนัก

แต่หากข้อเข่าเสื่อมรุนแรงจนไม่ตอบสนองการรักษาเหล่านี้ การผ่าตัดยังคงเป็นวิธีที่ให้ผลดีที่สุดในระยะยาว

8. ผ่าแล้วจะเจ็บมากไหม?

ในช่วง 1–3 วันแรกอาจมีอาการปวดตึงที่แผลบ้าง ซึ่งแพทย์จะให้ยาแก้ปวดอย่างเหมาะสม และการเริ่มกายภาพเร็วจะช่วยลดอาการได้ดี

9. ต้องใช้ไม้เท้านานแค่ไหน?

ส่วนใหญ่ใช้วอล์กเกอร์ประมาณ 2–3 สัปดาห์ แล้วเปลี่ยนเป็นไม้เท้าจนกว่าการเดินจะมั่นคง โดยทั่วไปสามารถเดินเองได้ภายใน 4–6 สัปดาห์

10. คนไข้ที่เป็นเบาหวานหรือความดันสูง ผ่าได้ไหม?

ได้ครับ แต่ต้องควบคุมโรคประจำตัวให้ดีก่อนผ่าตัด และต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ตอนต่อไป: ความเสี่ยง ภาวะแทรกซ้อน และวิธีป้องกัน

ในตอนที่ 6 ผมจะอธิบายภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การติดเชื้อ ข้อหลวม ลิ่มเลือด และวิธีลดความเสี่ยงเหล่านี้


ตอนที่ 6: ภาวะแทรกซ้อนและวิธีป้องกัน


แม้ว่าการผ่าตัดข้อเข่าเทียมจะเป็นหัตถการที่ปลอดภัยสูงในปัจจุบัน แต่ทุกการผ่าตัดใหญ่ย่อมมีความเสี่ยง ในตอนนี้ผมจะอธิบายภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ พร้อมแนวทางในการป้องกัน เพื่อให้คุณเข้าใจและวางแผนรับมือได้อย่างมั่นใจครับ

1. การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด (Infection)

เกิดได้ทั้งที่ผิวหนังและภายในข้อ ถ้ารุนแรงอาจต้องผ่าตัดล้างแผลหรือเปลี่ยนข้อเข่าใหม่

แนวทางป้องกัน:

- ผ่าตัดในห้องปลอดเชื้อโดยทีมบุคลากรชำนาญ

- ให้ยาปฏิชีวนะก่อนและหลังผ่าตัด

- รักษาแผลให้แห้ง สะอาด และเปลี่ยนผ้าปิดแผลตามกำหนด

2. การเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (Deep Vein Thrombosis – DVT)

เกิดจากเลือดจับตัวเป็นก้อนในหลอดเลือดดำ โดยเฉพาะที่น่อง หากลิ่มเลือดหลุดไปที่ปอดอาจอันตรายถึงชีวิต

แนวทางป้องกัน:

- เริ่มขยับขาและเริ่มเดินเร็วหลังผ่าตัด

- ใช้ถุงรัดขาหรือเครื่องกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

- ให้ยาละลายลิ่มเลือดในรายที่มีความเสี่ยงสูง

3. ข้อเข่าเทียมหลวม (Loosening)

มักเกิดในระยะยาว เมื่อข้อเทียมไม่ยึดแน่นกับกระดูก ทำให้เดินแล้วปวดหรือไม่มั่นคง

แนวทางป้องกัน:

- ผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญ ทำให้วางตำแหน่งข้อเทียมได้เหมาะสม

- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่มีแรงกระแทก เช่น วิ่ง กระโดด

- ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักกดลงข้อเทียมมากเกินไป รวมถึงการยกของหนัก

4. อาการปวดเรื้อรังหลังผ่าตัด

แม้ข้อเข่าจะถูกเปลี่ยนแล้ว แต่บางคนยังมีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือพังผืดรอบข้ออยู่

แนวทางป้องกัน:

- ทำกายภาพบำบัดสม่ำเสมอ

- ประเมินจุดปวดและหาสาเหตุร่วม เช่น กล้ามเนื้อเกร็งหรือเส้นประสาทตึง และแก้ไขให้ตรงจุด

5. ข้อจำกัดในการงอเข่าหลังผ่าตัด

หากไม่ฝึกงอเข่าตั้งแต่ต้น อาจเกิดพังผืดทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้น้อย

แนวทางป้องกัน:

- เริ่มกายภาพภายใน 24–48 ชม. หลังผ่าตัด

- ฝึกงอและเหยียดเข่าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน

6. การแพ้โลหะในข้อเข่าเทียม (พบได้น้อยมาก)

บางรายอาจมีอาการผื่นหรือปวดรอบข้อจากการแพ้โลหะ

แนวทางป้องกัน:

- ซักประวัติการแพ้โลหะ เช่น นิกเกิล

- เลือกใช้ข้อเทียมชนิดที่ปราศจากโลหะที่แพ้ง่าย

สรุปจากหมอ

แม้ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นได้ แต่โอกาสนั้นค่อนข้างต่ำ หากวางแผนผ่าตัดกับทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ ดูแลตนเองอย่างมีวินัย และติดตามอาการต่อเนื่อง โอกาสที่คุณจะกลับมาเดินดี มีชีวิตที่ไม่เจ็บเข่าอีกต่อไปก็อยู่ไม่ไกลครับ

ตอนต่อไป: ออกกำลังกายอย่างไรให้เข่าฟื้นเร็ว เดินได้ไว

ในตอนที่ 7 ผมจะพาไปรู้จักกับท่าออกกำลังกายฟื้นฟูหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียม ตั้งแต่ช่วงแรกจนถึงเดือนที่ 3


ตอนที่ 7: ออกกำลังกายอย่างไรให้เข่าฟื้นเร็ว เดินได้ไว


การออกกำลังกายหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียมเป็นหัวใจของการฟื้นตัว การขยับอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ข้อเข่าไม่ติด ลดบวม เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ในตอนนี้ ผมจะพาไปรู้จักกับท่าออกกำลังกายสำคัญที่ควรฝึกในแต่ละระยะ เพื่อให้เดินได้ไว กลับมาใช้ชีวิตได้ดีอีกครั้ง

ช่วงที่ 1: สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด – เริ่มเบา ๆ อย่างต่อเนื่อง

- **งอเข่าขึ้นลงบนเตียง (Heel Slide):** นอนหงาย งอเข่าให้มากที่สุดโดยไม่ฝืน แล้วเหยียดออก ทำช้า ๆ วันละ 10–15 ครั้ง

- **เหยียดเข่าบนหมอน (Quad Set):** นอนเหยียดขา พยายามกดเข่าลงกับหมอนให้ตึงค้างไว้ 5 วินาที ช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหน้าเข่า

- **เกร็งสะโพก (Glute Set):** ขมิบก้นค้างไว้ 5 วินาที เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อสะโพกฝ่อลีบ

ช่วงที่ 2: สัปดาห์ที่ 2–4 – เพิ่มการทรงตัวและความแข็งแรง

- **เหยียดเข่าในท่านั่ง:** นั่งบนเก้าอี้ เหยียดขาไปข้างหน้าให้สุด ค้างไว้ 5 วินาที

- **ยกขาตรง (Straight Leg Raise):** นอนหงาย ยกขาให้ตรง 30 องศา ค้างไว้ 5 วินาที แล้ววางช้า ๆ

- **เดินด้วยวอล์กเกอร์:** เพิ่มระยะทางและระยะเวลาเดินแต่ละวัน ควรมีนักกายภาพแนะนำ

ช่วงที่ 3: เดือนที่ 2–3 – ฝึกเดินให้คล่อง เพิ่มความมั่นคง

- **เดินขึ้น-ลงบันได:** ขึ้นนำด้วยขาข้างดี ลงนำด้วยขาข้างผ่า ใช้วอล์กเกอร์หรือราวจับช่วย

- **นั่งเก้าอี้ย่อตัว (Mini Squat):** ยืนจับพนักเก้าอี้ แล้วย่อตัวลงเล็กน้อย 10–15 ครั้ง

- **ปั่นจักรยานอยู่กับที่:** เริ่มจากถอยหลัง แล้วค่อย ๆ ปั่นไปข้างหน้า ช่วยเพิ่มการงอเข่าโดยไม่กระแทก

ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย

- หลีกเลี่ยงท่าที่บิดข้อหรือฝืนมากเกินไป

- ไม่ควรงอเข่าจนเจ็บหรือบวมเพิ่ม

- หยุดพักหากรู้สึกเวียนหัวหรือหมดแรง

- ปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพหากมีอาการผิดปกติ

กำลังใจจากหมอ

การออกกำลังกายหลังผ่าตัดข้อเข่าอาจดูยากในช่วงแรก แต่หากคุณทำทุกวันอย่างสม่ำเสมอ ภายใน 3 เดือน คุณจะรู้สึกได้ว่าตัวเองเดินดีขึ้น แข็งแรงขึ้น และไม่เจ็บข้อเข่าอีกต่อไป ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนผ่านช่วงนี้ไปด้วยความตั้งใจครับ

ตอนต่อไป: ใช้ชีวิตอย่างไรให้ข้อเข่าเทียมอยู่กับเราได้นานที่สุด

ในตอนที่ 8 ผมจะพูดถึงการดูแลข้อเข่าเทียมในระยะยาว เช่น การกิน การเดิน การตรวจติดตาม และกิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง


ตอนที่ 8: ใช้ชีวิตอย่างไรให้ข้อเข่าเทียมอยู่กับเราได้นานที่สุด


แม้การผ่าตัดข้อเข่าเทียมจะช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน แต่ข้อเข่าเทียมก็มีอายุการใช้งานจำกัด ดังนั้นการดูแลตัวเองในระยะยาวจึงสำคัญมาก เพื่อให้ข้อเข่าใหม่ของคุณอยู่ได้นานที่สุดโดยไม่ต้องผ่าตัดซ้ำ

1. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์

น้ำหนักที่มากเกินไปจะเพิ่มแรงกดบนข้อเข่าเทียมหลายเท่าตัว ทำให้ข้อสึกหรอเร็วขึ้น หากลดน้ำหนักลงได้แม้เพียง 5 กิโลกรัม จะช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อเข่าอย่างมีนัยสำคัญ

2. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่แรงกระแทกสูง

ข้อเข่าเทียมไม่เหมาะกับกิจกรรมที่มีแรงกระแทก เช่น:

- วิ่ง

- กระโดด

- เต้นแอโรบิกแรง ๆ

ควรเลือกออกกำลังกายที่นุ่มนวล เช่น เดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือโยคะ

3. ปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

- เลือกใส่รองเท้าพื้นนุ่ม ซัพพอร์ตดี

- เลี่ยงการนั่งยอง นั่งพื้น หรือนั่งไขว่ห้าง

- ระวังการลื่นล้มในห้องน้ำหรือพื้นเปียก

4. ทำกายภาพบำบัดเบา ๆ อย่างต่อเนื่อง

แม้จะผ่านการผ่าตัดมาแล้วหลายเดือน การบริหารกล้ามเนื้อรอบเข่าอย่างสม่ำเสมอ เช่น การยกขาตรง การเดินเร็ว และปั่นจักรยาน จะช่วยให้ข้อเข่าแข็งแรงและมั่นคงขึ้น

5. ตรวจติดตามกับแพทย์เป็นระยะ

แม้อาการดีขึ้นแล้วก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจ X-ray เป็นระยะ เช่น ทุก 1–2 ปี เพื่อตรวจดูว่าข้อเข่าเทียมยังอยู่ในตำแหน่งดีหรือไม่ และประเมินการสึกของวัสดุ

6. หลีกเลี่ยงการติดเชื้อ

หากมีการติดเชื้อรุนแรงในร่างกาย เช่น ฟันผุ ฝี ปัสสาวะอักเสบ ควรรีบรักษาและแจ้งแพทย์ทันที เพราะเชื้อโรคสามารถเข้าสู่ข้อเทียมผ่านกระแสเลือดได้

7. ระวังอุบัติเหตุ

การลื่นล้มเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้อเทียมหลุดหรือเสียหายได้ ดังนั้นควรจัดบ้านให้ปลอดภัย มีราวจับที่เหมาะสม และสวมรองเท้าที่กันลื่นตลอดเวลา

สรุปจากหมอ

ข้อเข่าเทียมสามารถอยู่กับคุณได้นาน 15–20 ปี หากดูแลอย่างถูกวิธี การใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังแต่ไม่ต้องกลัวเกินไป คือหัวใจของความสำเร็จในการมีชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องเจ็บเข่าอีกต่อไป

ตอนต่อไป: รีวิวจากผู้ป่วยจริง – เดินได้ดีขึ้นอย่างไรหลังเปลี่ยนข้อเข่า

ในตอนที่ 9 ผมจะพาผู้อ่านไปรู้จักกับประสบการณ์ตรงของผู้ป่วยที่กลับมาเดินได้อย่างมั่นใจหลังผ่าตัดข้อเข่าเทียม


ตอนที่ 9: รีวิวจากผู้ป่วยจริง เดินได้ดีขึ้นอย่างไรหลังเปลี่ยนข้อเข่า


ในฐานะศัลยแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมมายาวนาน ผมเชื่อเสมอว่า ‘ประสบการณ์ของผู้ป่วย’ คือสิ่งที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้คนที่ยังลังเลได้ดีที่สุด ในตอนนี้ ผมจะเล่าเรื่องราวของผู้ป่วยบางท่าน (โดยไม่เปิดเผยชื่อเต็ม) ที่ได้รับการผ่าตัดข้อเข่าเทียม และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง


คุณสมชาย อายุ 67 ปี – จากคนเดินไม่ได้ กลับมาเดินเล่นสวนสาธารณะทุกเช้า

ก่อนผ่าตัด: คุณสมชายมีข้อเข่าเสื่อมมานานกว่า 5 ปี ปวดจนเดินไม่ไหว ต้องใช้ไม้เท้าตลอดเวลา และหยุดออกกำลังกายที่เคยทำทุกเช้า

หลังผ่าตัด: เริ่มเดินด้วยวอล์กเกอร์ภายใน 2 วัน ทำกายภาพสม่ำเสมอ และกลับมาเดินรอบสวนสาธารณะได้ใน 2 เดือน

คำพูดของผู้ป่วย: “ชีวิตผมกลับมามีคุณค่าอีกครั้ง ไม่ต้องพึ่งลูกหลาน ลุกนั่งได้เอง ไปไหนมาไหนได้สะดวกมาก”


คุณสุนีย์ อายุ 72 ปี – เคยล้มในห้องน้ำ จนไม่กล้าเดิน ตอนนี้เดินตลาดคนเดียวได้แล้ว

ก่อนผ่าตัด: คุณสุนีย์มีข้อเข่าโก่ง ปวดเข่าเรื้อรัง และเคยล้มในห้องน้ำจากปวดเข่า ทำให้กลัวการเดินและอยู่แต่ในบ้าน

หลังผ่าตัด: เข่าตรงขึ้น เดินได้มั่นคงขึ้น และกล้ากลับไปเดินตลาด ซื้อของเองทุกสัปดาห์

คำพูดของผู้ป่วย: “คุณหมอช่วยให้ไม่ต้องกลัวล้มอีกแล้ว ดิฉันเดินไหวแล้วจริง ๆ”


คุณมนตรี อายุ 60 ปี – ขับรถไม่ได้มา 2 ปี ตอนนี้กลับมาขับรถพาครอบครัวเที่ยวได้แล้ว

ก่อนผ่าตัด: คุณมนตรีมีอาการปวดข้อเข่าทั้งสองข้าง งอเข่าไม่ได้ ขับรถลำบาก จนต้องหยุดกิจกรรมที่เคยชอบ

หลังผ่าตัด: กลับมางอเข่าได้ดีใน 6 สัปดาห์ ขับรถทางไกลได้อีกครั้ง และพาครอบครัวไปเที่ยวต่างจังหวัด

คำพูดของผู้ป่วย: “ผ่าตัดครั้งนี้ไม่ใช่แค่รักษาขา แต่เหมือนหมอคืนอิสรภาพให้ผมเลยครับ”


ข้อคิดจากผู้ป่วยที่ผ่านการผ่าตัดแล้ว

- อย่ารอให้ข้อเข่าแย่จนเดินไม่ได้ ถึงจะเริ่มรักษา

- ฟังคำแนะนำของหมอและนักกายภาพอย่างเคร่งครัด

- อย่ากลัวการผ่าตัด เพราะเทคโนโลยีและทีมแพทย์สมัยนี้พร้อมดูแลคุณอย่างปลอดภัย


สรุปจากหมอ

ผมรู้สึกยินดีทุกครั้งที่เห็นผู้ป่วยกลับมาเดินได้อย่างมั่นใจ การผ่าตัดข้อเข่าเทียมไม่ใช่แค่หัตถการทางการแพทย์ แต่คือการฟื้นคืนชีวิตปกติให้คนคนหนึ่ง หากคุณยังลังเล ขอให้เรื่องราวเหล่านี้ช่วยให้คุณกล้าตัดสินใจและเริ่มต้นดูแลตัวเองครับ


ตอนต่อไป: คำแนะนำจากหมอรณศักดิ์ – เมื่อไหร่ควรตัดสินใจเปลี่ยนข้อเข่า?

ในตอนที่ 10 ผมจะสรุปเกณฑ์การตัดสินใจอย่างชัดเจน ว่าควรผ่าเมื่อไหร่ ไม่ควรรีรออย่างไร


ตอนที่ 10: เมื่อไหร่ควรตัดสินใจเปลี่ยนข้อเข่า?


คำถามที่ผมเจอบ่อยที่สุดจากคนไข้คือ... “หมอครับ ผมต้องผ่าข้อเข่าแล้วใช่ไหม?” หรือ “รออีกได้ไหม?” การตัดสินใจผ่าตัดข้อเข่าเทียมเป็นเรื่องสำคัญ และควรทำเมื่อถึง ‘จุดที่เหมาะสม’ ซึ่งผมขออธิบายชัด ๆ ในตอนนี้

1. ปวดเข่าเรื้อรังจนรบกวนชีวิตประจำวัน

ถ้าคุณปวดเข่าทุกวัน เดินไม่ไกล ลุก-นั่งลำบาก จนส่งผลต่อการทำงาน การนอน หรือกิจวัตรประจำวัน แสดงว่าอาการเข้าสู่ระยะที่ ‘การใช้ยาอาจไม่เพียงพอ’ แล้ว

2. รักษาแบบไม่ผ่าตัดแล้วไม่ได้ผล

- กินยาแก้ปวดเป็นเวลานาน

- ฉีดยาหล่อลื่นหรือ PRP แล้วอาการไม่ดีขึ้น

- ทำกายภาพแต่ยังปวดมาก

สิ่งเหล่านี้บ่งบอกว่าโครงสร้างของข้อเข่าเสื่อมมากเกินไป จนการรักษาแบบอนุรักษ์ไม่ตอบสนองแล้ว

3. ข้อเข่าผิดรูป หรือโก่งมาก

หากคุณเริ่มสังเกตเห็นว่าข้อเข่าโก่ง ขาเบี้ยวผิดรูป หรือยืนแล้วน้ำหนักลงข้างเดียวมากเกินไป โอกาสเกิดข้อหลุดหรือหกล้มจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

4. ตรวจ X-ray แล้วพบว่าข้อเข่าเสื่อมรุนแรง

ภาพถ่ายรังสีที่แสดงว่า ‘ช่องว่างข้อหายไปหมด’ หรือ ‘กระดูกเสียดสีกันโดยตรง’ คือสัญญาณชัดเจนว่าข้อเข่านั้นไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้แล้ว

5. อยากกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบไม่ต้องกลัวเข่าอีกต่อไป

ผู้ป่วยหลายคนตัดสินใจผ่าตัดเพราะ ‘ไม่อยากเจ็บเข่าอีกแล้ว’ หรือ ‘อยากกลับไปเดิน ออกกำลังกาย ใช้ชีวิตอย่างอิสระ’ นี่คือเหตุผลที่ดีที่สุด เพราะคุณกำลังเลือกคุณภาพชีวิตของตัวเอง

แล้วควรรอให้ปวดมากที่สุดก่อนหรือไม่?

ไม่จำเป็นครับ หากรอนานเกินไป กล้ามเนื้อรอบข้อจะอ่อนแรงลง ความยืดหยุ่นลดลง ทำให้การฟื้นตัวหลังผ่าตัดยากขึ้น การผ่าตัดในช่วงที่ร่างกายยังแข็งแรงจะให้ผลดีที่สุด


สรุปจากหมอรณศักดิ์

การตัดสินใจผ่าตัดข้อเข่าเทียมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ควรรอจนปวดจนทนไม่ไหว ขอให้คุณฟังร่างกายตัวเอง และปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอย่างตรงไปตรงมา หากถึงเวลาที่เหมาะสม การผ่าตัดจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่คือ ‘จุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ที่เดินได้อย่างมั่นใจ’

ติดต่อเรา

โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ

เบอร์โทร

02 080 5999

ที่อยู่

35/2 หมู่ 12 ถนน บางนา-ตราด ซอย 64 บางแก้ว บางพลี สมุทรปราการ 10540

เวลาทำการ

วันอังคาร 8:00 - 17:00
วันพุธ 8:00 - 13:00
วันพฤหัส 8:00 - 17:00
วันศุกร์ 8:00 - 17:00
วันเสาร์ 8:00 - 13:00

โรงพยาบาลอินทรารัตน์

เบอร์โทร

02-481-5555

ที่อยู่

555/5 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพมหานคร 1023

เวลาทำการ

วันจันทร์ 8:00-16:00 น. (สัปดาห์ที่ 2 และ 4 ของเดือน)